“ประกันชีวิต” ไม่ได้ใช้แค่เงินซื้อ
แต่ต้องใช้ “สุขภาพที่ดี” ซื้อด้วย
หลายคนไม่ชอบประกันชีวิต
พอเจอตัวแทนก็เหมือนเจอคู่อริที่เหม็นหน้า
ทั้งที่ก็เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก
แล้วก็มักบอกปฏิเสธตัวแทนว่า
“ไม่ชอบประกัน ไม่อยากซื้อ”
เอาข้อเท็จจริงมาคุยกัน ด้วยเหตุและผล
ถึงคุณจะซื้อหรือไม่ซื้อประกันชีวิต
คุณจะได้ใช้มันอยู่ดีใน “อนาคต”
ช่วยชี้ไปที่ใครสักคน ที่ในอนาคต
จะไม่เจ็บป่วย ไม่แก่ชรา ไม่จากโลกนี้ไป
ณ เวลาเจ็บป่วย อุบัติเหตุ แก่ชรา จากโลกนี้ไป
ล้วนต้องใช้ “เงิน” ทั้งสิ้น
คำถามคือ… คุณเตรียมเงินก้อนนั้นไว้หรือยัง?
หลายคนหมดตัวจากการเป็นโรคร้ายแรง
หลายคนประสบอุบัติเหตุถึงกับพิการจนหารายได้ไม่ได้อีก
หลายคนจากไปแบบทิ้งภาระไว้ให้คนข้างหลัง
หลายคนต้องใช้ชีวิตยามชราอย่างลำบาก ไม่มีเงิน
ในประเทศที่เจริญแล้ว ผู้มีปัญญาเขาได้หาทางแก้ไขเรื่องนี้
ด้วยการคิดค้น “ประกันชีวิต” ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยตรง
จะมีสินค้าใดที่สามารถใช้ “เงินก้อนเล็กๆ” ซื้อ “เงินก้อนใหญ่”
เงินก้อนใหญ่นี่ล่ะที่ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ
แต่ประกันชีวิตก็กลับเป็นสินค้าที่ถูก “เข้าใจผิด” มากที่สุด
ทั้งที่น่าจะเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเข้าใจ
คือใครเกิดวิกฤต แทนที่จะจ่ายเอง
ก็ให้บริษัทประกันเป็น “เจ้าภาพ”
จ่ายค่าเสียหายให้ทั้งหมดทุกเรื่องที่กล่าวข้างต้น
“วัวหายจึงล้อมคอก”
หลายคนก็เป็นเสียแบบนี้ คือเจ็บป่วยแล้วถึงอยากทำประกัน
ไปตรวจสุขภาพมา หมอบอกพบก้อนเนื้อ หรือ เคมีในเลือดผิดปกติ
คราวนี้แหละ จึงได้ตระหนักถึงคุณค่าแห่งการประกัน
ใจเขาใจเรา
หากคุณเป็นบริษัทรถยนต์ รถชนมาแล้ว
แล้วมาซื้อประกัน คุณจะให้เขาเคลมไหม?
หากคุณเป็นบริษัทประกัน ลูกค้าตรวจเจอมะเร็ง เจอโรคร้าย
คุณจะยอมให้เขาซื้อประกัน แล้วเคลมได้เลยไหม?
แน่นอน
ไม่มีบริษัทประกันชีวิตที่ไหนในโลก เขาจะรับประกัน!!
ดังนั้นจึงพูดได้ว่า
“ทำประกันชีวิต” ไม่ได้ใช้แค่เงินซื้อ
แต่ต้องใช้ “สุขภาพที่ดี” ซื้อด้วย
หากวันนี้คุณยังสุขภาพดี แข็งแรงดี ไม่เคยเจ็บป่วยเลย
นั่นแหละเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด
ที่คุณจะครอบครองกรมธรรม์สักฉบับ
อย่ารอให้สายเกินแก้
เพราะราคาของ “การแก้ไข”
แพงกว่า “การป้องกัน” เสมอ
ค่ารักษาพยาบาลแพงกว่าเบี้ยประกันหลายเท่าตัวเสมอ!!